เทศน์เช้า วันที่ ๑๓ ตุลาคม ๒๕๖๒
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ตั้งใจฟังธรรมะนะ วันนี้วันสำคัญ เป็นวันออกพรรษา แต่มันจะไปสำคัญมากกว่าคือวันเข้าพรรษา เวลาวันเข้าพรรษาขึ้นมา เขาหยุดราชการ เขาถวายผ้าอาบน้ำ มันครึกครื้น เวลาออกพรรษามันหงอยเหงาไง ต่างคนต่างต้องแยกพลัดพรากจากกันไป พอออกพรรษาแล้ว
วันนี้วันสำคัญในพระพุทธศาสนา วันออกพรรษา และเป็นวันสำคัญคือวันในหลวงรัชกาลที่ ๙ สวรรคตครบ ๓ ปี เรามาทำบุญกุศลๆ ระลึกถึงไง
เวลาเราดูนะ “คิดถึงพ่อ คิดถึงพ่อ” คนทำคุณงามความดี ทุกคนระลึกถึง เวลาระลึกถึงนะ เวลาในหลวงท่านเสียชีวิตนะ ไม่ต้องพูดอะไรเลย น้ำตามันไหลกันเอง น้ำตามันไหลทั่วประเทศเลย ทั่วโลกด้วย นี่เวลาคนดีท่านสิ้นชีวิตของท่านไป ท่านทำประโยชน์ของท่าน บุญกุศลในใจอันนั้นเป็นบุญกุศลในใจอันนั้น
วันนี้วันออกพรรษา ผู้ที่ทำคุณงามความดีเสด็จสวรรคตไปแล้ว ไอ้พวกเรายังมีชีวิตอยู่นี่ ยังต้องตรากตรำต่อไป
เวลาวันเข้าพรรษา วันเข้าพรรษาเราอธิษฐานพรรษากัน งดเหล้า อดบุหรี่ งดทุกอย่าง ออกพรรษาแล้วอย่าไปดื่มไปกินมันอีกนะ ในพรรษาเรายังงดได้ เรายังทำได้เลย ออกพรรษาไปแล้วสุขภาพกายจะแข็งแรง สุภาพจิตจะเข้มแข็งขึ้นมา เพราะมีคุณธรรมๆ ไง ถ้ามีธรรมในใจของเรา เราจะทำสิ่งใดก็ได้ แต่ถ้าหัวใจมันอ่อนแอนะ คาบบุหรี่ไว้มันก็แบมือออกไม่ได้ ถ้าแบออกบุหรี่มันก็ตกไปหมดน่ะ นี่พูดถึงว่า งดเหล้า อดบุหรี่ นี่วันออกพรรษา
แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ สิ่งที่เป็นวันสำคัญๆ ของท่าน วันสำคัญของท่านนะ เราฉันอาหารของนางสุชาดา วันนั้นเราถึงซึ่งกิเลสนิพพาน
เวลาท่านจะปรินิพพานไง เราฉันอาหารของนายจุนทะเป็นมื้อสุดท้าย แล้วท่านก็ปรินิพพานไป
ก่อนที่ฉันอาหารของนางสุชาดามา นั่นน่ะท่านพยายามขวนขวายของท่านในทางกระแสของโลก ในการประพฤติปฏิบัติ เวลาท่านจะสำเร็จของท่าน สำเร็จของท่านในวันวิสาขบูชา เพ็ญเดือน ๖ เพ็ญเดือน ๖ เพราะอะไร นั่นน่ะเดินมรรค
เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธรรมๆ เวลาพระโมคคัลลานะ ๗ วัน ๗ วันนั้น ๗ วันนั้นเวลาสั่งสอนพระโมคคัลลานะ นั่นน่ะมรรค คือในใจเรามีกิเลส มีความเห็นผิด แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอบรมสั่งสอนด้วยมรรค พระสารีบุตร ๑๔ วัน พระสารีบุตร ๑๔ วันเพราะมีปัญญามากกว่า
เวลาที่เราประพฤติปฏิบัติ เรามีกิเลสตัณหาความทะยานอยากอยู่นี่ แล้วธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นธรรมโอสถ มันจะกำราบปราบปรามกิเลสในใจของสัตว์โลก เวลาธรรมะจะปราบปรามกิเลสในหัวใจของสัตว์โลก แล้วธรรมะมันอยู่ที่ไหน ธรรมะมันอยู่ที่ไหน
เวลาธรรมะๆ ศีล สมาธิ ปัญญา ศีล สมาธิ ปัญญา ที่เรากระทำกันอยู่นี่ไง ทำทาน ทำศีล ภาวนา ทำทานๆ ผู้ที่จิตใจเข้มแข็งขึ้นมาไปวัดไปวาไปถือศีล เวลาไปถือศีล ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ถ้ามันสงบเข้ามาเป็นสัมมาสมาธิ ถ้ามันเกิดปัญญาขึ้นมาเป็นภาวนามยปัญญา นี่คือมรรค
แต่เวลาเขาเห็นนิมิต เห็นต่างๆ ไอ้คนที่เห็นต่างๆ คนที่มีกิเลสมันเห็นนะ มันก็เป็นการส่งออก แต่เวลาพระสารีบุตร พระโมคคัลลานะท่านเป็นพระอรหันต์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระอรหันต์ ความเป็นอรหันต์ มรรคญาณ มรรคญาณที่การประพฤติปฏิบัตินั่นน่ะเป็นมรรค
คนที่มีกิเลส เวลาจะต่อสู้กับกิเลสนั้นต่อสู้ด้วยมรรค แต่เวลาครูบาอาจารย์ที่ท่านเป็นพระอรหันต์แล้ว องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปโปรดพุทธมารดา การไปโปรดพุทธมารดา
เทวดา อินทร์ พรหมมีอยู่หรือไม่
เทวดา อินทร์ พรหม วิชชา ๓ บุพเพนิวาสานุสติญาณ ระลึกอดีตชาติไปตั้งแต่พระเวสสันดรไป เวลาจุตูปปาตญาณ คนที่ไม่สิ้นกิเลส คนมีกิเลสอยู่มันต้องเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ มันต้องเกิดต่อหน้าไป อาสวักขยญาณ มรรคอันนี้ มรรคอันนี้ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาแล้ววางธรรมวินัยนี้ไว้ วางธรรมวินัยนี้ไว้
ธรรมวินัยก็คือมรรค ๘ มรรค ๘ ดำริชอบ งานชอบ เพียรชอบ ระลึกชอบ ความชอบธรรม การกระทำอันนี้เป็นมรรค แต่ของเราเป็นกิเลสนะ เพราะเราอยากได้
เราอยากได้ ไปวัดขึ้นมาจะทำอย่างนั้นๆ ทำด้วยกิเลสมันก็เป็นกิเลสไปทั้งสิ้นไง แล้วมันไม่เป็นมรรคเป็นผลขึ้นมาไง เวลาไม่เป็นมรรคเป็นผลขึ้นมาแล้วก็ไปโทษไง โทษธรรมะไง โทษว่าจิตส่งออก หลับหูหลับตา ทำอะไรแล้วไม่ได้ประโยชน์ ทำสิ่งใดไม่ได้
เขาหลับหูหลับตาเพื่อให้จิตใจเขาเข้มแข็งนะ แล้วถ้ามันเป็นมรรคเป็นผลขึ้นมาเขาจะได้ประโยชน์ของเขานะ
แต่ถ้ามันยังมีกิเลสอยู่นะ มันยังมีกิเลสอยู่ มันยังหลงผิดอยู่ไง มันก็ไปรับรู้ ไปรู้ไปเห็น นั่นคนที่มีกิเลสไง
แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระอรหันต์ท่านไม่มีกิเลสไง เวลาท่านไม่มีกิเลส หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นเวลาท่านเทศนาว่าการ เทวดา อินทร์ พรหมมาฟังเทศน์ไง
เขาบอกว่าเทวดา อินทร์ พรหมเป็นตัวๆ เลย เป็นวิญญาณมาเลยหรือ
วัฏสงสารเอ็งไม่เข้าใจหรือ กามภพ รูปภพ อรูปภพ วิวัฏฏะน่ะ วิวัฏฏะออกจากวัฏฏะไป แล้ววิธีการออกจากวัฏฏะเห็นไหม
เวลามาถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง มันมีจริงหรือเปล่า มีจริงหรือเปล่า
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า อย่าบอกเลยเทวดามีหรือไม่มี วิธีการที่จะเป็นเทวดา ทำสาธารณประโยชน์ สาธารณประโยชน์ต่างๆ ขึ้นมา ไปเกิดเป็นเทวดา วิธีการทำยังรู้เลย วิธีการจะไปน่ะ
ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ
ถ้ามันไม่เหตุ จะเอาผลมาจากไหน มันต้องมีเหตุนะ แล้วเหตุคืออะไรล่ะ
แต่พวกเรายังมีกิเลสตัณหาความทะยานอยากอยู่ไง เวลาจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมาล้มลุกคลุกคลานไง แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ อัครสาวกต่างๆ ท่านสิ้นกิเลส ฉะนั้น สิ่งที่ท่านทำประโยชน์นั่นคือสงเคราะห์ สงเคราะห์โลก การสงเคราะห์สงหา การกระทำ
ผู้ที่อยู่ในวัฏฏะไง มีวัดที่เขาเอามาเป็นเครื่องมือหากินไง เวลาเขาจะหลอกญาติโยมไง พ่อแม่ทุกข์ยาก ต้องมาทำบุญเพื่อพ่อแม่
เวลาพูดถึงพ่อแม่ปู่ย่าตายาย เราเคลิ้มเลยนะ ไปกับเขาหมดเลย
แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อทาสิเม อกาสิเมฯ เธออย่าเสียใจ อย่าคร่ำครวญ อย่าร้องไห้ อย่าทุกข์ใจถึงญาติของเราที่สิ้นชีวิตไป ให้ทำคุณงามความดีถึงกัน
อย่างเช่นวันนี้เรามาทำบุญกุศลของเรา เราอุทิศส่วนกุศล อุทิศส่วนกุศลคือความรู้สึกความเป็นสุขของเรา ความเป็นบุญกุศลของเราให้กับญาติของเรา
ไม่มีหรือ ไม่มีใช่ไหม
นี่ไง แล้วก็บอกว่าเวลาจะเอามาเรียกร้องกัน ญาติของคนตกนรกอเวจีต้องทำบุญเท่านั้นจะช่วยจากนรก
ทำบุญกุศล อุทิศส่วนกุศล
เวลาอีกลัทธิหนึ่งก็บอกว่า อุทิศส่วนกุศลไม่ได้บุญ บุญอุทิศกันไม่ได้ ต้องต่างคนต่างทำ
พ่อแม่ทำไมรักลูกได้ ทำไมเราเห็นสังคมร่มเย็นเป็นสุข ทำไมเรามีน้ำใจไม่ได้ การมีน้ำใจมันผิดตรงไหน เราอุทิศส่วนกุศลก็เพื่อใคร เราระลึกถึงพ่อแม่เราผิดหรือ เราระลึกถึงปู่ย่าตายายของเราผิดตรงไหน เรามีบุญกุศล เราจะอุทิศให้ท่าน มันเป็นบาปเป็นกรรมใช่ไหม
แต่สำมะเลเทเมา ไม่เคยสนใจอะไรเลย อันนั้นเป็นบุญหรือ แล้วสิ่งที่กระทำๆ ว่าตัวเองเป็นคนกระทำ ไม่ต้องทำอะไรเลย เราทำของเรา ท่านทำของท่าน มันจะเป็นต่างคนต่างทำ
แล้วจริงหรือ
เอ็งเกิดมาจากไหน เอ็งเกิดมาเอ็งก็มีพ่อมีแม่นะ เวลาเกิดมา ใครไม่มีบุญไม่มีกรรมจะมาเกิดได้อย่างไร คนที่มีบุญมีกรรมต่อกัน ทุกคนก็อยากจะเกิดจากพ่อแม่ที่ร่ำรวยศรีสุขใช่ไหม ทำไมพ่อแม่ที่ร่ำรวยศรีสุขมีลูกมีเต้ายากนะ ไอ้คนจน คนจนอย่างกับแม่เป็ดลูกเป็ดเลย เดินเป็นแถวเลย
ของเรา มีพระเราอยู่ทางชายแดน เวลาไปน่ะ แม่เดินนะ แล้วก็เดินเรียงลำดับเลย เหมือนเป็ดเดินเป็นแถวเลย
คนทุกข์คนจน จิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะอยากจะเกิด การเกิดเป็นมนุษย์นี้แสนยาก ถ้าเวลาเกิดเป็นมนุษย์นะ เกิดเป็นอะไรก็ได้ขอให้เกิดเป็นมนุษย์ แล้วเกิดเป็นมนุษย์ที่มีสัมมาทิฏฐินะ เป็นมนุษย์ที่มีสัมมาทิฏฐิรู้จักบุญคุณพ่อบุญคุณแม่ บุญคุณของแผ่นดิน
เราเกิดมาแล้วเราได้เกิดจากพ่อจากแม่ขึ้นมา เราต้องมีบุญกุศลร่วมกันมาเราถึงได้มาเกิด เวลาเกิดมาแล้วเราจะมีความเข้าใจ มีความเห็นที่แตกต่างกัน อันนั้นมันเป็นทัศนคติ ทัศนคติเขาเรียกว่าพันธุกรรมของจิต
พันธุกรรมของจิต ในการกระทำที่ว่าเวลาบ่มเพาะ พระโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์เวลาเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย เขาทำแต่คุณงามความดีนะ ตัดแต่งพันธุกรรมของจิตให้มันดีขึ้นๆ ต่อไปไง
พอตัดแต่งพันธุกรรมของจิตมันดีขึ้นมาแล้วมันพัฒนาขึ้น พอพัฒนาขึ้น ใครพูดอะไรสิ่งที่ไม่ดีไม่งามมันก็ไม่รับรู้ ใครพูดสิ่งที่ดีงามมันก็ส่งเสริม เวลาจิตที่ดีงามมันฟังสิ่งที่ดีงามได้ไง
แต่ถ้าจิตที่มันเลวทรามนะ มันเห็นคนทำคุณงามความดี มันดีเกินหน้ากูได้อย่างไร มันจะมาเด่นเกินหน้ากูได้อย่างไร
นี่ไง เวลาจิตใจมันเลวทรามนะ มันจะทำให้คนอื่นทรามแล้วทรามไปกับมันไง
แต่ถ้าคนเขาเป็นคนดี เห็นคนดีแล้วชื่นชมนะ เวลาหลวงตาเวลาท่านสงเสริมสังคมนะ เวลาบ้านไหนทุกข์ไหนร้อน ท่านให้ลูกศิษย์ของท่านไปช่วยเหลือเจือจาน ท่านปิดทองหลังพระโดยไม่ให้ใครรู้ ไม่ให้ใครรู้เลย
เพราะคุณงามความดี เราทำคุณงามความดีของเราในหัวใจของเรา หัวใจของเราเป็นคุณงามความดีแล้ว ไม่มีใครรู้ถึงหัวใจของเราได้ แต่เขาเห็นแต่กิริยาภายนอกเท่านั้น
คนที่เขาเป็นครูบาอาจารย์ที่เป็นธรรมนะ หน้าฉากท่านเป็นปกตินะ พระที่ดีงามคือพระธรรมดา พระที่ยังกินข้าว อาบน้ำ นี่พระธรรมดา พระนี่พระดี
ไอ้พระที่อวดอ้างต่างๆ ไอ้นั่นเขาเรียกว่าเรียกร้องศรัทธาไทย ศรัทธาไทยคือศรัทธาของเรา คือความรู้สึกของเรา สิทธิของเรา เราจะเอาไปแขวนไว้ให้ใคร เราจะเอาสิทธิ เอาหัวใจของเราไว้ในหัวใจของเรา เห็นไหม แต่เราเชื่อมั่นในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ในพระสงฆ์ พระสงฆ์ที่เป็นพระสงฆ์ที่ดีงาม
พระสงฆ์ที่ดีงาม ดูสิ หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านปรารถนาของท่าน สร้างธรรมทายาทๆ ท่านพยายามสร้างสมบุญญาธิการนะ แล้วท่านก็รับรู้ได้ด้วยว่าพวกเราอ่อนแอ พออ่อนแอขึ้นมาท่านก็วางข้อวัตรไว้นะ ข้อวัตรปฏิบัติ สัลเลข ๑๓ ให้หมั่น ให้ขยัน การหมั่น การขยันทำคุณงามความดี มันเป็นวัตรไม่ร้าง
วัตรไม่ร้าง เวลาเข้าไปวัดไปวาที่ไหนก็แล้วแต่ ห้องน้ำก็สะอาด ศาลาก็น่ารื่นรมย์ ในทางเดินจงกรมวาวแวบเลย ในที่นั่งภาวนา ผู้ทรงศีลก็ภาวนาของท่าน เราไปเห็นแล้วเราชื่นใจ เราชื่นชม
เราไปวัดไหน โอ้โฮ! วัดนี้อลังการ จ้างบริษัทรับเหมามาทำความสะอาด จ้างเขาทั้งนั้นเลย กูอยากดัง กูอยากใหญ่ แต่กูไม่ทำอะไรเลย แต่มึงเห็นไหมว่ากูทำได้ ทำได้เพราะมีการศึกษา มีการทฤษฎีไง จ้างเอานะ ปลูกสวนหย่อมเลย สวนญี่ปุ่นด้วย มีรถกระเช้าไฟฟ้ารับตลอดเลย มีพรมให้นั่งอีกต่างหาก แล้วกูจะช่วยพ่อช่วยแม่ที่ตกนรกด้วยนะ
นั่นน่ะ เขาศึกษาธรรมะของพระพุทธเจ้าแล้วบริหารจัดการไง บริหารจัดการขึ้นมา เวลากิเลสมันศึกษาธรรมะแล้วนะ มันเอาไปบิดเบือนเป็นผลประโยชน์ของมันไง แต่พวกเราเป็นเหยื่อ พวกเราไปส่งเสริมคนที่เห็นแก่ตัว คนที่คิดแต่ผลประโยชน์ของตนคนเดียว
ไม่เหมือนครูบาอาจารย์เรา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนารื้อสัตว์ขนสัตว์ ท่านแผ่ท่านกระจายไปทั่วสังคม ทั่วสังคมคือคนทุกข์คนยากมันมีอยู่ไปทั่วโลก
คนทุกข์คนยากจะนับถือลัทธิศาสนาใดเขาก็เป็นมนุษย์เหมือนกัน การช่วยเหลือเจือจานของหลวงตาท่านข้ามประเทศนะ ไปพม่า ไปลาว ไปเขมร ไปหมดเลย นี่เวลาท่านทำของท่าน ถ้าผู้ที่เป็นธรรมๆ ท่านทำเพื่อผลประโยชน์ๆ แล้วไม่ต้องประกาศ
การประกาศเป็นทิฏฐิมานะอันหนึ่ง อยากรู้ อยากให้เขาบันทึกไว้ๆ
หลวงตานี่ไม่มีเลย สมัยที่ยังไม่ออกมาโครงการช่วยชาติฯ นะ ท่านจะบอกว่า ถ้าใครพูดโอ้อวดหรือพูดเกินจริง ตบปาก ตบปาก ตบปาก
เวลาเป็นความจริงๆ ความจริงพระเขาจะไปรุมล้อมกันเอง พระนี่นะ เขาต้องการให้คนที่ภาวนาเป็นคนชี้ทาง เวลาเราภาวนา ถ้าเรารู้คนไหนว่าภาวนาทำสมาธิเป็น คนไหนที่เป็นครูบาอาจารย์ที่ดี เราก็อยาก “บอกหน่อยๆ ทุกข์เกือบตาย”
ไอ้คนที่ยังไม่เคยทุกข์มันยังไม่รู้หรอกว่าวิธีการจะหยุดทุกข์ หยุดทุกข์นะ ไม่ใช่ดับทุกข์ หยุดมันไว้ก่อน หยุดด้วยสัมมาสมาธิไง ไม่หยุดมันไว้มันเห่อเหิมทะเยอทะยานทำให้เราทุกข์เรายาก แล้วคนเราคนมันทุกข์มันยากมันจะทำอะไร
เวลาคนหิวกระหาย อะไรก็ได้ขอให้มันได้เสวย ได้สวาปามไปเถอะ แต่ของคนที่เขารักษาสุขภาพนะ ไม่ ถ้ากินเข้าไปแล้วสุขภาพไม่ดี ไม่
จิตใจที่มันได้หยุดไว้ก่อน มันรู้จักไม่ รู้จักควร รู้จักไม่ควร คนเราจะเป็นคนดีได้นะ ต้องรู้จักผิดชอบชั่วดี อะไรผิด อะไรชอบนะ ถ้ามันชอบทางโลก แต่มันผิดทางธรรมไง
ดูสิ มีศรัทธาความเชื่อ สิ่งที่ดีงามทั้งสิ้นเลย แต่ในทางธรรมๆ ไง ทางธรรมเขาให้สงบเสงี่ยม เขาให้ที่สงบสงัด เขาให้ที่หลีกเร้น ถ้าหลีกเร้นแล้ว ตอนนี้มนุษย์ขึ้นมา มนุษย์เกิดมา พระก็มาจากคน พอมาจากคนขึ้นมามันก็ต้องมีปัจจัยเครื่องอาศัย พอปัจจัยเครื่องอาศัย แต่ปัจจัยเครื่องอาศัยเพื่อมุมานะปฏิบัติให้มันเป็นความเป็นจริงในใจขึ้นมา แต่ถ้าจิตใจที่มันไม่มีหลักไม่มีเกณฑ์ก็ไปคลุกคลี คลุกคลีตีโมงไง สัลเลข ๑๓ ไม่ใช่
สัลเลข ๑๓ ท่านให้วิเวก ให้เสียสละ ให้ค้นหาใจของตนให้เจอ ถ้าค้นหาใจของตนให้เจอนะ
ตอนนี้นั่งอยู่บนศาลาทุกคนมีความสุขสงบหมดเลย เพราะพรรคพวกเยอะแยะเลย เวลากลับบ้านต่างคนต่างไปนะ บ้านใครอยู่ชนบทมันจะไปถนนที่คับแคบ ถนนที่เปล่าเปลี่ยว เฮ้ย! เรามีอันตรายหรือเปล่า
เห็นไหม เวลาไปอยู่คนเดียวความคิดมันผุดเยอะแยะ ไอ้ความคิดในใจ ไอ้กิเลสในใจนั่นน่ะ คิดว่ากูแน่ กูแน่นั่นน่ะ เวลาไปอยู่ท่ามกลางที่เปลี่ยว ที่อันตรายน่ะ นั่นไง
แต่ครูบาอาจารย์ที่ท่านฉลาด หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นไง เวลาท่านบอกว่าให้พระองค์นี้ไปอยู่ที่ถ้ำนั้น พระองค์นี้ไปอยู่ในดงเสือนั้น เพราะท่านเห็นว่าพระนั้นมีกำลังพอ
พระนั้นมีกำลังพอ หมายความว่า พระนั้นมีสติปัญญาพอที่จะรักษาได้ แล้วถ้าเขาได้สิ่งนั้นเข้ามาช่วยตะล่อม ได้สิ่งนั้นมาเป็นครูเป็นอาจารย์ มันจะเป็นประโยชน์กับพระองค์นั้น
ท่านส่งให้พระองค์ไหนไปก็แล้วแต่ หลวงตาเวลาหลวงปู่มั่นท่านให้ไปอยู่ ท่านบอกว่าท่านกลัวจนขาสั่น
ท่านเป็นคนกลัวเสือองค์หนึ่งนะ ใครจะไม่กลัว เรามันคน ใครๆ ก็รู้จักเสือ แล้วเสือมา ๓ วา ๔ วา แล้วเรามีแต่บริขาร ๘ ใครจะไม่กลัว แต่ท่านมั่นใจว่า หลวงปู่มั่นท่านเป็นพระอรหันต์ ท่านเป็นอาจารย์ของเรา ท่านให้เราไปที่ไหนก็แล้วแต่ ท่านต้องมีเหตุมีผลของท่าน ถ้าท่านมีเหตุมีผลของท่าน เราควรไปแบบนั้น กลัวจนขาสั่นก็เดินไป เดินไปโดยกลัวเสือๆ มันก็แก่กล้าขึ้น เวลาไปแล้วเวลามันกลัวๆ ไง
เวลาอวดเก่งนะ อยู่ที่ไหนจะเป็นอาจารย์สอนคน อยู่ที่ไหนบรรลุธรรม อยู่ที่ไหนรู้ธรรมหมดเลย ในสามแดนโลกธาตุขอให้ถามมา ฉันรู้หมดล่ะ ฉันเก่งหมดล่ะ แต่เวลาไปเจอเสือมันกลัว เวลาอยู่คนเดียวแล้วมันคิด
เวลามันทุกข์ใจมันนะ เวลาอย่างนั้นท่านใช้ธรรมะของท่าน แล้วไปอยู่ในท่ามกลางเดินจงกรม เวลามันเกิดความกลัวขึ้นมา ให้จิตมันสงบให้ได้ จิตมันสงบให้ได้ จิตมันดิ้นรนนี่ไง
หยุดมันไว้ก่อน หยุดมันไว้ก่อน หยุดมันไม่ได้ไง พอหยุดมันไม่ได้ ใช้ปัญญา เสือมันมีหนัง เราก็มีหนัง เสือมีกระดูก เราก็มีกระดูก เสือมีเนื้อ เราก็มีเนื้อ เสือมีอวัยวะต่างๆ เรามีหมดเลย เสือมันมีหาง เราไม่มีหาง แต่หางเสือ เสือมันเองมันยังไม่กลัวหางมันเลย แล้วเราเป็นคนไปกลัวมันทำไม เวลาจิตมันลงนะ มันอาจหาญมาก อาจหาญ บุคคลคนนั้น
มีพระเยอะมากจำทฤษฎีนี้แหละ แล้วไปเทศน์สอนหลอกประชาชน ว่าฉันนี้จิตสงบ แหม! อยากจะไปลูบหัวเสือ อยากจะไปดูแลเสือ
เอ็งทำจริงให้เป็นความจริงแล้วปิดทองหลังพระ ทำแล้วไม่ให้ใครรู้ สิ่งที่หลวงตาท่านมาพูด ท่านมาพูดเมื่อบั้นปลายชีวิตของท่าน พูดไว้ให้เป็นคติเป็นแบบอย่างของอนุชนรุ่นหลัง ที่ได้สมบุกสมบันจะเอาชนะใจของตน
ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าชี้เข้าไปถึงหัวใจของสัตว์โลก สัตว์โลกที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เราเกิดจากพ่อจากแม่ พ่อแม่เป็นพระอรหันต์ให้ชีวิตนี้มา แต่เราก็มีทุกข์มียากในใจของเรา พ่อแม่ก็มีทุกข์มียากในใจของพ่อแม่
ลูกมาบวช ลูกมาบวช พ่อแม่ได้ ๑๖ กัป เพราะลูกมาบวชในพระพุทธศาสนาก็เท่ากับสืบทอดศาสนาๆ พระเจ้าอโศกอยากจะเป็นญาติกับศาสนาก็เอาลูกไปบวช ลูกไปบวชแล้วลูกก็เป็นพระอรหันต์ขึ้นมาอีกเสียด้วย พอเป็นพระอรหันต์ขึ้นมาเผยแผ่มาที่ลังกาไง นี่ไง ๘ สาย ๘ สายของพระเจ้าอโศกไง นี่มันเป็นประโยชน์ ประโยชน์กับโลก เห็นไหม ถ้าเป็นประโยชน์กับโลก
เรารักษาหัวใจของเรา ธรรมะชี้เข้าไปในหัวใจสัตว์โลก ชี้เข้าไปในหัวใจของเรา แล้ววันนี้เรามาทำบุญกุศลกันน่ะ มันเป็นวันนักขัตฤกษ์ เต็มศาลาเลย วันธรรมดามีเรากับเสาเท่านั้นแหละ ไม่มีหรอก
ก็ไม่เห็นมันตื่นเต้นอะไร ภาษาเรา เราพูดประจำ วันทำการเป็นวันถูกหวยของเรา มันไม่มีใครมายุ่ง วันเสาร์วันอาทิตย์วันกูออกศึก วุ่นวายทุกวันเลย แต่ก็เป็นหน้าที่
นี่ไง ทุกคนแสวงหา เวลาหลวงตาท่านอยู่กับหมู่คณะนะ ท่านบอก เรารู้ว่าทุกคนเอาหัวใจมาฝากไว้ที่เรา ท่านเจ็บไข้ได้ป่วย ท่านมีสิ่งใดท่านไม่บอกใครทั้งสิ้น เงียบ ท่านกลัวไปกระทบกระเทือนหัวใจของคนอื่น
แต่เวลาท่านทำโครงการช่วยชาติฯ นะ ท่านอยากจะให้ชาติมันมั่นคง อยากให้ศาสนามันอยู่ได้ไง ท่านบอกเลย ท่านทำความบอบช้ำให้กับหัวใจของลูกศิษย์
ทำความบอบช้ำเพราะเราต้องดิ้นรนแสวงหาเพื่อไปถวายท่าน ให้ท่านไปค้ำจุนโลก ค้ำจุนศาสนา ท่านบอกว่าท่านทำให้ลูกศิษย์ท่านบอบช้ำ
คนที่เป็นพระอรหันต์ท่านรู้นะ ทำดีก็รู้ว่าดี ทำชั่วก็รู้ว่าชั่ว ทำประโยชน์ก็รู้ว่าประโยชน์ แต่ประโยชน์นี้มันต้องอาศัยปัจจัย พออาศัยปัจจัย คนที่ขวนขวาย เราพยายามของเรา นี่ทำให้บอบช้ำ แต่การบอบช้ำ บอบช้ำด้วยวัตถุ แต่เราจะได้คุณธรรม ได้บุญกุศล เราได้ถวายปัจจัยเพื่อหลวงตาได้ค้ำจุนชาติ
สายบุญสายกรรม สายบุญสายกรรมที่จะคุ้มครองหัวใจของเราให้หัวใจของเราเป็นอิสระ อย่าเชื่อใครง่ายๆ กาลามสูตร ไม่ให้เชื่อใครทั้งสิ้น ให้เชื่อผลการประพฤติปฏิบัติ ให้เชื่อเข้ามาพบหน้ากันนี่ แล้วคนโง่ คนฉลาด เวลาเขาคุยกัน คนโง่พูดอะไรไม่เป็นหรอก
ศีลจะรู้ได้ต่อเมื่ออยู่ด้วยกัน ธรรมะจะรู้ได้ตอนอ้าปาก
แล้วมันอ้าปากมา ไม่มีใครกล้าอ้าปาก มันกลัวปอดตับมันจะออกมาข้างนอกหมดไง มันโชว์เขาหมดเลย ไอ้ที่โม้ๆ อยู่นี่นะ มันทำหลักฐานไว้ เขาชี้หมดเลย
หลับตาลืมตาไม่มีหรอก หลับตาลืมตามันเป็นสามัญสำนึกของมนุษย์ สัมมาสมาธิหรือมิจฉาสมาธิเท่านั้น สมาธิแก้กิเลสไม่ได้ ไอ้จรณะ ๑๕ นั่นน่ะมันมีสมาธินะ แต่กูยังไม่ได้พูดถึงขั้นของปัญญาเลย
ขั้นของปัญญานะ สติ มหาสติ ปัญญา มหาปัญญา ปัญญาญาณ ยังไม่ได้พูดถึงเลย แค่พูดสมาธิหลับตาลืมตา มันมีอยู่จริงหรือ สมาธิหลับตาลืมตา
สมาธิจับ หลวงตาสอนให้ปัญญาตัด
ปัญญาคือการภาวนามยปัญญา ปัญญาเกิดจากการภาวนา ไม่ใช่ปัญญาเกิดจากสมุด ดินสอ ปัญญาเกิดจากการท่องจำคือสัญญา ปัญญาเกิดจากเถ่อมองว่าสัญญา โลกียะมันเป็นสติปัญญาโลกๆ ทั้งนั้นน่ะ ไม่มีหรอก ยังไม่เป็นหรอก กว่าจะเป็นได้นะ โลกุตตรปัญญา โลกุตตรปัญญามันเป็นอย่างไร
โธ่! ถ้ารู้จักโลกุตตรปัญญา จะไม่บอกว่าสมาธิหลับตา สมาธิลืมตา เพราะโลกุตตรปัญญามันเกิดจากบาทฐานของศีล สมาธิ ปัญญา มันต้องมีศีล สมาธิ ปัญญา ไม่มีสมาธิมันจะเกิดปัญญาอะไร โลกุตตระๆ โลกุตตระตรงไหนวะ มันเป็นจริงไปไม่ได้หรอก
นี่ไง เวลาคนที่พูดไม่เป็นๆ เวลาอ้าปากมามันเป็นหลักฐานเอกสารให้คนที่เขารู้จริงเห็นหมดน่ะ อันนี้มันไม่จริง
ถ้าจริง สติ มหาสติ สติอัตโนมัติ มันเป็นอย่างไร สมาธิ ปัญญา มหาปัญญา ปัญญาญาณมันเป็นอย่างไร พูดไม่รู้จัก มีแต่จดในสมุดนั่นน่ะ เด็กมันก็ทำได้ มันไม่เป็นความจริง
นี่พูดถึงว่าพูดถึงบุญกุศล วันนี้วันออกพรรษา เวลาเข้าพรรษามาชื่นใจ วันเข้าพรรษาแล้วรื่นเริงเพื่อจะมีการกระทำ เวลาออกพรรษาแล้วเราก็ต้องแตกแยกกันไปเพื่อหาความสงบ เพื่อหาความเป็นจริงในหัวใจของเรา
นี่พูดถึงว่าการทำสัมมาสมาธิ เอวัง